คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 29/2557

 แหล่งที่มา: ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
 เผยแพร่เมื่อ: 19 มิ.ย. 2558 09:51:00

คำพิพากษาย่อสั้น

 
คดีที่โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นเอกชน จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๓ และจำเลยร่วม ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง อ้างว่า โจทก์ครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๒๑๗๙๗ โจทก์พบว่าจำเลยที่ ๑ แจ้งการครอบครองอันเป็นเท็จในที่ดินที่โจทก์ครอบครองอยู่ต่อจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๒ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบการออกโฉนดที่ดิน ทำให้ที่ดินของโจทก์ตกไปเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๕๑๐๑ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนแปลงโฉนดที่ดินต่อจำเลยที่ ๒ เพื่อขอรวมโฉนดและขอแบ่งแยกที่ดิน ทำให้ที่ดินของโจทก์ตกไปเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๕๐๙๙ และเลขที่ ๑๒๑๗๙๗ ในระหว่างที่โจทก์คัดค้านการออกโฉนดที่ดินพิพาท และยื่นเรื่องร้องเรียนต่อจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ได้นำที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๒๑๗๙๗ ซึ่งเป็นโฉนดที่ดินที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขายให้แก่จำเลยที่ ๓ ขอให้มีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๕๑๐๑ และเลขที่ ๑๒๑๗๙๗ และให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๒๑๗๙๗ จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๑๗๙๗ มาจากกองมรดกของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ เชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดินโดยแท้จริง จำเลยที่ ๓ จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมาทางนิติกรรม โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โดยสุจริต จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน จำเลยร่วมให้การว่า คดีขาดอายุความ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๑ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
 
 
 
 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
  • พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
  • ประมวลกฎหมายที่ดิน

แอปพลิเคชั่นค้นหาคำพิพากษาศาลฎีกา

ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for iOS ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for Android