คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1758/2548

 แหล่งที่มา: สำนักวิชาการ
 เผยแพร่เมื่อ: 26 มิ.ย. 2551 15:50:06

คำพิพากษาย่อสั้น

 
คดีนี้เป็นคดีปลดเปลื้องทุกข์ที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และศาลชั้นต้นได้ตีราคาที่ดินพิพาทตามคำสั่งของศาลฎีกาแล้ว ได้ความว่าที่ดินพิพาทส่วนของจำเลยที่ 1 ราคา 51,450 บาท ที่ดินส่วนของจำเลยที่ 2 ราคา 572,295 บาท และมูลคดีเกี่ยวกับที่ดินพิพาทของจำเลยทั้งสองแยกต่างหากจากกัน ดังนั้นทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาสำหรับจำเลยที่ 1 จึงไม่เกินสองแสนบาท คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248
แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท ทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิมและให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินพิพาทได้หรือไม่ แต่การที่จะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวจะต้องฟังข้อเท็จจริงให้ยุติว่าที่ดินพิพาทเป็นโบราณสถานอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในความครอบครองดูแลของโจทก์ทั้งสองหรือเป็นที่ดินที่จำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองอันเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกัน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีที่โจทก์ฟ้อง มิใช่นอกประเด็นดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา เช่นนี้ข้อเท็จจริงสำหรับจำเลยที่ 1 จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ว่าที่ดินพิพาทส่วนที่จำเลยที่ 1 เข้าปลูกสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เมื่อโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นส่วนราชการที่มีอำนาจครอบครองดูแลตามกฎหมายไม่ประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 อยู่ในที่ดินพิพาท จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ให้รื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้าง และบังคับให้จำเลยที่ 1 และบริวารออกจากี่ดินพิพาทได้
คดีก่อนโจทก์ที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองอาศัยมูลละเมิดที่จำเลยทั้งสองทำลายกำแพงเมืองเชลียงศรีสัชนาลัยเสียหายอันเป็นกรณีฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการทำให้เสียทรัพย์ คดีถึงที่สุดแล้ว แต่คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองให้รื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างและให้จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทโดยอาศัยอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิใช้สอยทรัพย์ที่พิพาทแม้จะฟ้องเรียกค่าเสียหายมาด้วยก็เป็นค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีอำนาจเป็นกรณีอ้างว่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ ดังนี้ประเด็นคดีแรกและคดีนี้ย่อมแตกต่างกัน ประเด็นที่วินิจฉัยคดีทั้งสองมิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์ทั้งสองไม่เป็นฟ้องซ้ำ
แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชนะคดีโดยยกฟ้องโจทก์ทั้งสองและใช้ดุลพินิจให้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นเป็นพับ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับให้โจทก์ทั้งสองชนะคดีด้วยการขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท และได้คำนึงถึงเหตุสมควรความสุจริตในการสู้คดีความหรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวงแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ใช้ดุลพินิจกำหนดให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองในศาลชั้นต้นจึงชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 161 วรรคแรก
 
 
 
 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
  • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161
  • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
  • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304

ผู้พิพากษา

สถิตย์ ทาวุฒิ
จรัส พวงมณี
นินนาท สาครรัตน์

แอปพลิเคชั่นค้นหาคำพิพากษาศาลฎีกา

ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for iOS ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for Android