คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยป่วยเป็นโรคกระดูกสันหลังเสื่อมหรือข้อกระดูกสันหลังติดมีอาการปวดหลัง แพทย์ให้การรักษาโดยวิธีกายภาพบำบัดและฝังเข็มความไม่ปรากฏตามความเห็นของแพทย์ว่า อาการป่วยของจำเลยรุนแรงถึงขนาดจำเลยลุกขึ้นเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ หรือมีความจำเสื่อมจนจดจำอะไรไม่ได้แต่อย่างใด ฉะนั้น อาการป่วยของจำเลยจึงไม่ใช่สาเหตุแห่งการขาดนัดยื่นคำให้การดังที่จำเลยยกขึ้นอ้างดังนั้น เมื่อจำเลยรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยชอบแล้วจำเลยไม่ยื่นคำให้การหรือแจ้งเหตุขัดข้องต่อศาลชั้นต้นเสียภายในกำหนด 8 วันนับแต่วันรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ..... มาตรา 177 เดิม จำเลยก็ได้ชื่อว่าจงใจขาดนัดยื่นคำให้การชอบที่ศาลชั้นต้นจะไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 199 วรรคสอง จำเลยฎีกาว่า คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทเป็นสัญญาปลอมนั้น เมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีจึงไม่มีประเด็นในศาลชั้นต้นแม้ศาลอุทธรณ์จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามที่จำเลยอุทธรณ์ก็ถือว่าเป็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง.....มาตรา 249 วรรคแรก ในคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์ได้ชำระเงินในวันทำสัญญา52,220 บาท แต่ในชั้นพิจารณาโจทก์เบิกความว่า โจทก์ชำระเงินค่าซื้อในวันทำสัญญาเพียง 2,220 บาท และในสัญญากู้ยืมเงินซึ่งเป็นหลักฐานแห่งการชำระเงินในวันทำสัญญาระบุว่าจำเลยได้รับเงินค่าซื้อจากโจทก์ 52,000 บาท ไม่ใช่จำนวน 52,220 บาท ก็ตาม แต่โจทก์ก็นำสืบอธิบายได้ว่ามีการนำยอดเงินจำนวน 50,000 บาท ที่จำเลยรับจากโจทก์ล่วงหน้าไปแล้วมาหักออกก่อน ส่วนอีก 2,220 บาท โจทก์เห็นว่าเป็นจำนวนเงินเพียงเล็กน้อยโจทก์จึงไม่ได้ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงินด้วย ข้อนำสืบของโจทก์ดังกล่าว จึงไม่ใช่ข้อนำสืบที่แตกต่างหรือขัดแย้งกับคำฟ้องหรือพยานหลักฐานของโจทก์ หากแต่เป็นการนำสืบอธิบายถึงความเป็นมาแห่งยอดเงินที่ได้ชำระในวันทำสัญญาว่า มีความเป็นมาอย่างไร จึงรับฟังได้