คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10736/2555

 แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
 เผยแพร่เมื่อ: 9 เม.ย. 2557 14:00:00

คำพิพากษาย่อสั้น

 
ตามคำฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์เป็นค่าปรับรายวันตามสัญญาพิพาทข้อ 10 โดยศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาไม่ส่งมอบสินค้าภายในกำหนดเวลาตามสัญญาพิพาทและวินิจฉัยว่าการคิดค่าปรับตามสัญญาข้อ 10 ดังที่ฟ้องขอมา ต้องเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา แต่เป็นกรณีมีระยะเวลาส่งมอบสินค้าขึ้นมาใหม่ซึ่งมิใช่การแสดงเจตนาของโจทก์ฝ่ายเดียวดังข้อเท็จจริงที่โจทก์เสนอแสดง เมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิริบหลักประกันเงินจำนวน 7,490 บาท ที่ฝ่ายจำเลยมอบให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวเป็นค่าเสียหายฐานผิดสัญญา และแม้การใช้สิทธิเลิกสัญญาไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบว่าโจทก์ได้รับความเสียหายฐานผิดสัญญาเกินไปกว่าจำนวนเงินค่าเสียหายที่ฝ่ายจำเลยวางเป็นหลักประกันดังกล่าว ศาลชั้นต้นจึงใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายฐานผิดสัญญาเท่ากับจำนวนเงินดังกล่าว อันย่อมเห็นได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยแปลความข้อสัญญาพิพาทโดยตรง ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่ขอตามข้อสัญญาดังกล่าว จึงหาใช่เป็นการอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการกำหนดค่าเสียหายไม่ ดังนั้น แม้ทุนทรัพย์ที่อุทธรณ์โต้เถียงในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ก็หาต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
เมื่อฝ่ายจำเลยทำข้อตกลงไว้กับโจทก์ตามหนังสือสัญญาในข้อ 9 ว่า การบอกเลิกสัญญาเมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญานี้แล้ว ถ้าไม่ส่งมอบ ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและมีสิทธิริบหลักประกัน และในข้อ 10 วรรคแรกว่า ค่าปรับในกรณีที่ผู้ซื้อมิได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 9 ผู้ขายต้องชำระค่าปรับให้ผู้ซื้อเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันครบกำหนดตามสัญญา โดยเฉพาะในวรรคท้ายที่ว่า "ในระหว่างที่ผู้ซื้อมิได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญานั้น หากผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน...ฯลฯ...และถ้าผู้ซื้อได้แจ้งข้อเรียกร้องให้ชำระค่าปรับไปยังผู้ขาย เมื่อครบกำหนดส่งมอบแล้ว ผู้ซื้อมีสิทธิที่จะปรับผู้ขายจนถึงวันบอกเลิกสัญญาได้อีกด้วย" ดังนี้ การที่ฝ่ายจำเลยผิดสัญญาไม่ส่งสินค้าให้แก่โจทก์ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันทำสัญญา และโจทก์มิได้บอกเลิกสัญญาทันที แต่ได้เร่งรัดให้ฝ่ายจำเลยดำเนินการนำสินค้าตามสัญญาไปส่งมอบพร้อมทั้งสงวนสิทธิในการปรับเป็นรายวันดังกล่าวไว้ ซึ่งต่อมาฝ่ายจำเลยก็ไม่สามารถส่งมอบ เมื่อต่อมาโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา โจทก์จึงย่อมมีสิทธิบังคับตามสัญญาทั้งข้อ 9 และข้อ 10 วรรคแรกกับวรรคท้าย คือริบเงินหลักประกันและปรับฝ่ายจำเลยเป็นรายวันได้ในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสินค้าที่ยังไม่ได้รับมอบ ดังที่แจ้งสงวนสิทธิไว้แล้ว นับแต่วันที่ถัดจากวันครบกำหนดส่งมอบสินค้าตามสัญญา คือวันที่ 3 เมษายน 2549 จนถึงวันที่บอกเลิกสัญญาด้วย และกรณีตามสัญญาข้อ 10 นี้ มิใช่เป็นเรื่องที่จะเกิดสิทธิได้ก็ต่อเมื่อโจทก์กับฝ่ายจำเลยต่างได้แสดงเจตนาตกลงกำหนดระยะเวลาส่งมอบสินค้ากันขึ้นมาใหม่อีกครั้งหลังจากครบกำหนดเวลาส่งมอบตามสัญญาแล้วดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ไม่ อย่างไรก็ดี การปรับรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสินค้าตามสัญญาข้อ 10 นี้ ก็คือเบี้ยปรับที่โจทก์เรียกเอาจากจำเลยเนื่องจากจำเลยผิดสัญญา ซึ่งหากเบี้ยปรับที่กำหนดไว้นั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
 
 
 
 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383
  • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224

ผู้พิพากษา

พินิจ สายสอาด
วิจิตร วิสุชาติ
วิทยา วีระประจักษ์

แอปพลิเคชั่นค้นหาคำพิพากษาศาลฎีกา

ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for iOS ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for Android