คำพิพากษาย่อสั้น
สัญญาจะซื้อจะขายมีใจความว่า จำเลยผู้จะซื้อที่ดินและบ้านจากโจทก์ผู้จะขายในราคา 430,000 บาท โดยกำหนดเวลาชำระเงินเป็น 3 งวด งวดที่ 1 ชำระในวันที่ 31 มกราคม 2522 เป็นเงิน 120,000 บาท งวดที่ 2 ชำระในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2522 เป็นเงิน 110,000 บาท งวดที่ 3 ชำระในวันโอนเป็นเงิน 200,000 บาท และในข้อ 2 แห่ง สัญญานี้ได้ระบุว่า ในการจะซื้อจะขายนี้ผู้จะซื้อได้วาง มัดจำให้ผู้จะขายไว้แล้วเป็นเงิน 120,000 บาท ผู้จะขายได้รับเงินมัดจำไว้ถูกต้องแล้ว เช่นนี้ การที่โจทก์นำสืบว่าเงิน 120,000 บาท ที่ระบุในสัญญานี้ความจริงไม่ได้ จ่ายเป็นเงินสดแต่ได้จ่ายเป็นเช็ค และเช็คดังกล่าวภายหลังโจทก์ก็ได้คืนให้จำเลยไปแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบ ได้เพราะเป็นการนำสืบอธิบายข้อความในเอกสาร ไม่ใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเอกสาร
จำเลยอ้างเอกสารใบรับเงินและเช็คที่โจทก์ทำให้จำเลยยึดถือไว้ระบุว่าได้รับเช็คเงินสดจำนวน 110,000 บาท และเงินสดจำนวน 200,000 บาทฉบับหนึ่ง และเอกสารใบรับเช็คเงินสดจำนวน 20,000 บาท อีกฉบับหนึ่ง การที่โจทก์นำสืบว่า ใบรับเงินและใบรับเช็คดังกล่าวเป็นเอกสารไม่ถูกต้อง เพราะมีการเพิ่มเติมว่ารับจำนวนเงินสด 200,000 บาท ลงไปและเช็คดังกล่าวก็ขึ้นเงินไม่ได้ การนำสืบดังกล่าวเป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบพยานได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 จำเลยฎีกาว่า หนังสือยินยอมให้ฟ้องคดีของสามีโจทก์นั้นโจทก์ทำขึ้นเองที่บ้านของโจทก์ด้วยเจตนาของโจทก์เองศาลอุทธรณ์ฟังเอกสารฉบับนี้คลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกอ้างเหตุว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริง อย่างไร จึงมิใช่เป็นฎีกาที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย