คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 570/2519

 แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
 เผยแพร่เมื่อ: 1 ม.ค. 2513 07:00:00

คำพิพากษาย่อสั้น

 
เดิมที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมี น.ส.3 ของโจทก์ ต่อมา พ.ศ. 2511 ย. ได้นำรังวัดเพื่อออกโฉนดผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน ย. โฉนดออกให้เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2513 และต่อมาวันที่ 20 กรกฎาคม 2514 ย. ได้ขายที่ดินตามโฉนดดังกล่าวให้แก่จำเลย ดังนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ให้สันนิษฐานว่า ผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ย. และจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องกัน จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานดังกล่าว ส่วนที่ดินโจทก์เป็นที่ น.ส.3 ผู้ยึดถือมีเพียงสิทธิครอบครองตลอดเวลาที่ยังคงยึดถืออยู่ เมื่อถูกรบกวนหรือถูกแย่งการครอบครองจะต้องฟ้องขอให้ปลดเปลื้องหรือเรียกคืนการครอบครองเสียภายใน 1 ปี ตามมาตรา 1374, 1375 เมื่อปรากฏว่าโจทก์เองไม่เคยเข้าไปครอบครองที่พิพาทจริงจัง เพิ่งรู้ว่ามีการบุกรุกออกโฉนดทับที่เมื่อโจทก์ไปขอรังวัดออกโฉนดที่ดินของตนเมื่อต้นปี พ.ศ. 2513 และโจทก์จะขอเจรจากับ ย. เจ้าของที่ดินในขณะนั้นก็ถูกปฏิเสธ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่พิพาท แสดงว่าโจทก์รู้ว่าถูกแย่งการครอบครองตั้งแต่ขณะนั้น โจทก์มิได้ดำเนินการอย่างไร คงปล่อยปละละเลยเพิ่งมาฟ้องคดีขอให้เพิกถอนโฉนดและขับไล่จำเลยเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2517 เกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งสิทธิครอบครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทจากจำเลย
 
 
 
 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375

ผู้พิพากษา

อุดม จาละ
สงวน สิทธิไชย
ปรีชา สุมาวงศ์

แอปพลิเคชั่นค้นหาคำพิพากษาศาลฎีกา

ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for iOS ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for Android