คำพิพากษาย่อสั้น
++ เรื่อง ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ++
++ จำเลยฎีกา ++
++ ศาลฎีกาพิพากษา ...
++
++ คำพิพากษาสั่งออก - รอย่อ
++ แจ้งการอ่านแล้ว / โปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
++
++ (ทดสอบย่อจากชุดพิเศษ)
ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 981/2536 ของศาลชั้นต้น นายวิรัตน์ ตั้งอดุลย์รัตน์ผู้เสียหายไม่ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแล้ว โจทก์และจำเลยที่ 8 มิได้ยื่นอุทธรณ์ นายวิรัตน์ ผู้เสียหายในคดีดังกล่าวจึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์ การที่นายวิรัตน์ซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 980/2536 ยื่นอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 11 ตุลาคม 2536 โดยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนนั้น อุทธรณ์เกี่ยวกับสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่981/2536 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาดังกล่าวได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เกี่ยวกับจำเลยที่ 8 จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 8 ต่อไป
คดีคงขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาเฉพาะข้อหาฐานใช้เอกสารราชการปลอมเท่านั้น ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นตามที่ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 28 และ 29 มีนาคม 2533 จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 8 ได้ร่วมกันนำที่ดินที่มีชื่อของจำเลยที่ 5 ที่ 6 นางนาค คบทองหลาง นายหลอมสอนครบุรี และจำเลยที่ 8 ในใบ ภ.บ.ท.5 เป็นเจ้าของตามเอกสารหมาย จ.17 จ.11 จ.4 จ.23 และ จ.30 มาทำสัญญาการซื้อขายให้แก่โจทก์ร่วมตามเอกสารหมาย จ.8 จ.15 จ.20 จ.26 และ จ.35จำเลยที่ 4 ได้มอบเอกสารหมาย จ.17 จ.11 จ.4 จ.23 และ จ.30ซึ่งเป็นเอกสารราชการ หนังสือมอบอำนาจ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านตามเอกสารหมาย จ.2 จ.3 จ.5 ถึง จ.7 จ.9จ.10 จ.12 ถึง จ.14 จ.16 จ.18 จ.19 จ.21 จ.22 จ.24 จ.25และ จ.27 ถึง จ.34 ให้แก่โจทก์ร่วม
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 7 ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 7 ใช้เอกสารราชการปลอมหรือไม่
พฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบมาก่อนแล้วว่าเอกสารหมาย จ.4 จ.11 จ.17จ.23 และ จ.30 เป็นเอกสารราชการปลอม
ส่วนจำเลยที่ 3 นั้น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2533 จำเลยที่ 1 ได้บอกโจทก์ร่วมว่าที่ดินที่มีใบ ภ.บ.ท.5ให้ผู้ใหญ่บ้านรับรองก็สามารถซื้อได้แล้ว โจทก์ร่วมตกลงซื้อที่ดินเพราะจะมีผู้ใหญ่บ้านคือจำเลยที่ 3 มารับรอง จำเลยที่ 3 ได้เข้ามารับรู้เกี่ยวกับการขายที่ดินตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2533 โดยได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจ เอกสารหมาย จ.2 จ.9 จ.10 จ.14 จ.16 จ.21 จ.22จ.27 จ.29 และ จ.34 ในวันที่ 28 มีนาคม 2533 จำเลยที่ 3 ก็ได้ไปที่บ้านของโจทก์ร่วม ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือสัญญาการซื้อขายทั้ง 5 ฉบับไว้ด้วย ก่อนที่โจทก์ร่วมจะมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 1ได้ให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อรับรองด้วย และได้มอบเงินจำนวน 5,000บาท ให้แก่จำเลยที่ 3 เพื่อนำไปชำระภาษีบำรุงท้องที่และทำการโอนชื่อจากเจ้าของที่ดินเดิมมาเป็นชื่อของโจทก์ร่วม
เห็นว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ปกครองท้องที่มีหน้าที่สำรวจที่ดินในหมู่บ้านตลิ่งชันย่อมทราบดีว่าจำเลยที่ 5ถึงที่ 7 มีที่ดินตามใบ ภ.บ.ท.5 ในท้องที่ของตนหรือไม่ เมื่อใบ ภ.บ.ท.5ของจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ไม่มีที่ดินอยู่จริง ซึ่งหมายความว่าใบ ภ.บ.ท.5ของจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 เป็นเอกสารราชการปลอม จำเลยที่ 3 ยังลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจในลักษณะเป็นการรับรองว่าที่ดินมีอยู่จริงในวันทำสัญญาซื้อขายที่ดินจำเลยที่ 3 ก็ไปร่วมรับรองตามที่จำเลยที่ 1แจ้งแก่โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมเป็นคนต่างท้องที่ไม่ทราบความจริงได้ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ก็เพราะเชื่อถือจำเลยที่ 3 ก่อนจะจ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 ก็ให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อรับรอง ได้มอบเงิน 5,000บาท ให้แก่จำเลยที่ 3 เพื่อนำไปเสียภาษีบำรุงท้องที่ จำเลยที่ 3 รับเงินไว้ทั้ง ๆ ที่ทราบดีว่าที่ดินดังกล่าวไม่มี และให้จำเลยที่ 3 จัดการโอนที่ดินใส่ชื่อโจทก์ร่วม การที่โจทก์ร่วมมอบหมายให้จำเลยที่ 3 ไปกระทำการดังกล่าวก็เพราะเชื่อถือจำเลยที่ 3 นั่นเอง การกระทำของจำเลยที่ 3จึงเป็นการช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน และขณะกระทำความผิด จำเลยที่ 3 จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1ที่ 4 ถึงที่ 7