คำพิพากษาย่อสั้น
โจทก์มีที่ดินอยู่แปลงเดียวปรารภว่าจะแบ่งให้บุตรทั้ง 4 คน อ.ซึ่งเป็นบุตรีคนหนึ่งกับ ช.สามีรบเร้าให้แบ่งที่ดินยกให้ อ.ก่อน โดยรับรองจะส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์เดือนละ 200 บาท ครั้นโจทก์แบ่งแยกที่ดินแล้ว อ.กับ ช.ก็แนะนำให้โอนที่ดินแปลงที่จะยกให้แก่ อ.นั้น โดยทำนิติกรรมเป็นขายให้แก่ ช. โดยโจทก์มิได้รับเงนเลยเมื่อไ้ดที่ดินแล้ว อ.กับ ช. ก็ส่งเสียเงินแก่โจทก์ตามที่รับรอง ต่อมา ช.เกิดผิดใจกับโจทก์ ช.กับ อ.ก็ถือโกรธไม่ยอมส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์ ทำให้โจทก์ประสบความแร้นแค้น และ ช.ยังด่าว่าโจทก์ว่า "คนแก่หัวหงอก พูดจากลับกลอก ไม่มีสัตย์" ต่อหน้าบุคคลหลายคนซึ่งเป็นญาติก็มี ไม่ใช่ญาติก็มี ดังนี้ โจทก์ย่อมฟ้อง ช.เรียกถอนคืนการให้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2)(3)
โจทก์โอนที่ดินให้จำเลยโดยทำนิติกรรมเป็นขายให้ แล้วนำพยานบุคคลมาสืบหักล้างพยานเอกสารว่าโจทก์ถูกจำเลยหลอกลวงให้โอนให้ โดยโจทก์มิได้สมัครใจและมิได้รับเงินราคาที่ดินนั้น ดังนี้ โจทก์มีสิทธินำสืบได้เพราะเป็นการนำสืบทำลายล้างเอกสารนั้นว่ามีขึ้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยซึ่งเป็นบุตรีโจทก์ หลอกโจทก์ว่า ย.ผู้เคยมีกรณีขัดแย้งอยู่กับโจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ขอให้โจทก์โอนที่ดินให้เป็นของจำเลยเสีย หากแพ้คดีจะได้ไม่ถูกยึด ทั้งรับรองว่าภายหลังจะโอนกลับคืนให้ แล้วจำเลยก็ให้โจทก์นำนิติกรรมเป็นโอนขายแก่จำเลย โดยโจทก์มิได้สมัครใจและมิได้รับเงินเลย ดังนี้ต่อมาโจทก์รู้ตัวว่าถูกหลอกลวง ได้เตือนให้จำเลยโอนคืนแล้ว จำเลยขัดขืน โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้นเสียได้
โจทก์ฎีกาโดยรับอนุญาตให้ฟ้องฎีกาได้อย่างคนอนาถา เมื่อจำเลยแพ้คดีในชั้นศาลฎีกาและศาลเห็นว่าจำเลยจะต้องเป็นผู้รับผิดเสียค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความทั้งสองฝ่าย ศาลฎีกาย่อมสั่งให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยเฉพาะค่าธรรมเนียมษลในชั้นฎีกานั้นให้จำเลยชำระต่อศาลในนามของโจทก์ผู้ฎีกาอย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 158