คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์แสวงหากำไรจากการให้บริการทำธุรกรรมทางด้านการเงินและรับฝากเงิน เงินที่จำเลยที่ 1 รับฝากไว้จากโจทก์ จำเลยที่ 1 สามารถที่จะนำเงินออกไปใช้แสวงหาประโยชน์อย่างไรก็ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือขอความเห็นชอบจากผู้ฝาก เพียงแต่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องคืนเงินดังกล่าวให้ครบจำนวนตามกำหนดเวลาเท่านั้น และมีอำนาจหรือสิทธิตัดสินใจในการบริหารเงินที่รับฝากไว้ตามกิจการของตนเองได้โดยลำพัง จำเลยที่ 1 จึงมิได้มีฐานะเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการเงินของโจทก์ตามความหมายแห่ง ป.อ. มาตรา 353 ดังนั้น หากโจทก์มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเงินฝากกับจำเลยที่ 1 ก็เป็นเรื่องข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมทางด้านการเงิน ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง โจทก์ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอากับจำเลยที่ 1 ในทางแพ่งเท่านั้น
ข้อหาการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 12 (9) บัญญัติห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการใดๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศหรือประโยชน์ของประชาชน หรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรม... เป็นบทบัญญัติที่กำหนดขึ้นเพื่อควบคุมและกำกับการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ เพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ อีกทั้งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวม อันเป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คดีเสร็จการไต่สวนมูลฟ้อง แต่ก่อนอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 5 อ้างว่าเป็นเอกสารที่จำเลยจัดทำขึ้นใหม่ภายหลัง โจทก์ไม่อาจอ้างได้ก่อนในวันนัดไต่สวนครั้งสุดท้าย ซึ่งเอกสารดังกล่าวนั้นเป็นเอกสารที่โจทก์ได้บรรยายไว้ในคำฟ้องและนำพยานมาสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว พยานเอกสารที่โจทก์ขอระบุเพิ่มเติมจึงมิใช่เอกสารสำคัญที่จะทำให้การวินิจฉัยชี้ขาดผลคดีให้เปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 5 ของโจทก์นั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว