คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยที่ 10 และ ป. ขับรถเฉี่ยวชนกัน ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และทำให้ทรัพย์สินของผู้ตายได้รับความเสียหาย ดังนั้นจำเลยที่ 10 และ ป. จึงเป็นผู้ครอบครองหรือเป็นผู้ควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล โดยผู้ตายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการควบคุมหรือครอบครองเครื่องจักรกลที่ก่อให้เกิดความเสียหายด้วย จำเลยที่ 10 และ ป. จึงต้องรับผิดเพื่อการเสียหายอันเกิดจากยานพาหนะนั้นเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเป็นเพราะความผิดของผู้เสียหายนั้นเอง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 437 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์บรรยายฟ้องโดยเล่าข้อเท็จจริงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า จำเลยที่ 10 และ ป. เป็นผู้ขับซึ่งถือเป็นผู้ควบคุมยานพาหนะที่เดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลแล้วเกิดการเฉี่ยวชนกัน ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายและทรัพย์สินได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 3 เป็นนายจ้าง ป.และเป็นเจ้าของรถลากจูงที่ ป. เป็นผู้ขับ ซึ่งเอาประกันไว้แก่จำเลยที่ 9 จึงขอให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 แม้จะมิได้บรรยายว่าเป็นความประมาทของฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายและขับรถประมาทกันอย่างไร ก็เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว คำฟ้องโจทก์ที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 9 ไม่เคลือบคลุมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง
สัญญาเช่าที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยที่ 11 กับจำเลยร่วม ข้อ 7 ระบุว่า ผู้ให้เช่า (จำเลยร่วม) ต้องรับผิดต่อความเสียหายใด ๆ อันเกิดต่อผู้โดยสารในรถยนต์ที่นำมาให้เช่าและบุคคลภายนอกอันเป็นการสืบเนื่องมาจากการกระทำไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมของพนักงานขับรถ หรือบริษัทจำเลยผู้เช่า (จำเลยที่ 11) หรือผู้ให้เช่า (จำเลยร่วม) ดังนั้น แม้จำเลยร่วมจะมิใช่เป็นนายจ้างจำเลยที่ 10 และเป็นเพียงผู้ให้เช่ารถกระบะ แต่เมื่อมีเหตุละเมิดเกิดขึ้นและทำให้จำเลยที่ 11 มีสิทธิที่จะไล่เบี้ยให้จำเลยร่วมต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 11 จำเลยที่ 11 ย่อมมีอำนาจขอให้ศาลมีหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีได้เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาเสร็จไปในคราวเดียว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3)
โจทก์ที่ 1 บรรยายฟ้อง ตั้งสภาพแห่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 ว่า จำเลยที่ 5 ในฐานะตัวการหรือนายจ้างของ ป. ส่วนจำเลยที่ 6 ถึงที่ 8 เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่า การที่ ป. ขับรถลากจูงนั้นเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์หรือในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 จึงเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม จำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 และทำให้จำเลยที่ 6 ถึงที่ 8 ไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 ด้วย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ฟังไม่ขึ้น