คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6194/2537

 แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
 เผยแพร่เมื่อ: 1 ม.ค. 2513 07:00:00

คำพิพากษาย่อสั้น

 
การขอระบุพยานเพิ่มเติมหลังจากคู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบก่อนสืบเสร็จแล้วต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น บัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยเป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้นแสดงถึงหนี้ที่เกิดขึ้นมาภายหลังที่สืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นเอกสารที่จำเลยไม่สามารถทราบก่อนสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นได้ว่าต้องนำสืบเพื่อประโยชน์ของตน แต่ข้อสำคัญแห่งประเด็นของคดีมีว่า เมื่อถึงวันฟ้องจำเลยเป็นหนี้โจทก์เท่าใด ซึ่งโจทก์ได้นำสืบถึงจำนวนหนี้ที่มีถึงวันฟ้องเสร็จสิ้นไปแล้วการที่จำเลยจะนำสืบถึงเอกสารที่แสดงถึงจำนวนหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้วย่อมไม่ทำให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งคดีเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จำเลยจึงระบุพยานเพิ่มเติมไม่ได้ ครบกำหนดตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแล้วบัญชีของจำเลยมีทั้งการถอนเงินจากบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีต่อไปอีก โดยจำเลยถอนเงินจากบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2524 และนำเงินเข้าบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2526 แสดงว่าโจทก์กับจำเลยตกลงให้มีการเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาแม้ตามรายการบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2526 มีเฉพาะการนำเงินเข้าบัญชีเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการถอนเงินจากบัญชีก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏว่ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาแก่อีกฝ่ายหนึ่งบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงยังไม่เลิกกันในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2524 แต่จะเลิกกันในวันครบกำหนดที่โจทก์บอกเลิกสัญญาและทวงถามให้ชำระเสร็จสิ้น เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 มีนาคม 2529 ต้องถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงในวันดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยทบต้นในต้นเงินที่ค้างชำระได้จนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2529ต่อจากนั้นโจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยไม่ทบต้นจนกว่าจะชำระเสร็จ
 
 
 
 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 859
  • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88

แอปพลิเคชั่นค้นหาคำพิพากษาศาลฎีกา

ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for iOS ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for Android