คำพิพากษาย่อสั้น
แม้คำเบิกความของ ด. เป็นพยานบอกเล่า แต่ถ้อยคำของผู้ตายที่บอกกล่าวขณะรู้สึกว่าตนจะต้องถึงแก่ความตายว่าคนร้ายที่ยิงตนคือจำเลย ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าเป็นความจริงตามคำกล่าวได้ซึ่ง ด. ได้ให้การชั้นสอบสวนในวันถัดจากวันเกิดเหตุว่า ผู้ตายบอกกล่าวกับตนว่า "ไอ้ลอบยิงผมแล้ว" ซึ่งเป็นเวลาใกล้ชิดกับเหตุที่ผู้ตายถูกยิงและขณะนั้น ด. ย่อมจำเหตุการณ์ได้ดีที่สุด ส่วนที่ ด. มาเบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้นและเบิกความในคดีนี้เหตุการณ์ได้ผ่านไปประมาณ 12 ปี และ 17 ปี ตามลำดับ ความจำของ ด. อาจคลาดเคลื่อนไปบ้างแต่มีระบุชื่อจำเลยตรงกัน ไม่ปรากฏว่ามีผู้อื่นในหมู่บ้านที่เกิดเหตุชื่อเดียวกับจำเลย และจำเลยกับพี่น้องรวม 3 คน มีเรื่องทะเลาะชกต่อยกับผู้ตายประกอบกับผู้ตายถูกยิงที่แก้มด้านซ้ายในระยะห่างประมาณ 1.50 เมตร แสดงว่าคนร้ายต้องอยู่ต่อหน้าผู้ตายในระยะใกล้เชื่อว่าผู้ตายมีโอกาสเห็นจำเลยได้ชัดเจน จึงสามารถระบุชื่อจำเลยเป็นคนยิงทันที
ส่วนปัญหาว่า ช. ไปแจ้งเหตุให้ ด. ทราบหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญแต่ ช. ได้ให้การในชั้นสอบสวนในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3000/2546 ของศาลชั้นต้นเบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้นและเบิกความในคดีนี้ตรงกันตลอดมาว่า เมื่อได้ยินเสียงอาวุธปืนดัง พยานเห็นจำเลยถืออาวุธปืนสั้นเดินสวนทางมากับพยาน ทั้งตรงกับคำให้การในชั้นสอบสวนของ ด. ว่าหลังเกิดเหตุ ช. บอกพยานว่า เห็นจำเลยวิ่งถืออาวุธปืนสวนทางไป เป็นการสนับสนุนว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเป็นพยานแวดล้อมกรณีที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ที่มีเหตุผลรับฟัง พยานหลักฐานของจำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ลอยๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น