คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5575/2552

 แหล่งที่มา: สำนักวิชาการ
 เผยแพร่เมื่อ: 7 ส.ค. 2555 10:06:18

คำพิพากษาย่อสั้น

 
ก่อนสืบพยานโจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงร่วมกันตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายด้วยการถอนเงินสดจำนวน 3,000 บาท เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2540 ในวันดังกล่าวมียอดเงินค้างชำระจำนวน 36,995.77 บาท หลังจากนั้นในวันที่ 30 มิถุนายน 2546 จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์โดยนำเงินเข้าบัญชีจำนวน 2,000 บาท ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปตามข้อเท็จจริงที่รับกัน ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงให้ศาลวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเพียงข้อเดียวว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ตามข้อเท็จจริงที่แถลงรับกันโดยไม่ต้องสืบพยาน และถือเอาคำวินิจฉัยของศาลเป็นข้อแพ้ชนะ หากศาลวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความก็ต้องพิพากษายกฟ้อง แต่หากวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความก็ต้องพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ ข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าว จึงมีลักษณะเป็นคำท้าหรือมีการตกลงกันในประเด็นแห่งคดีโดยไม่ได้มีการถอนฟ้อง ซึ่งมีผลผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138 การที่โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าหลังจากจำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2540 แล้ว จำเลยได้ชำระหนี้โดยนำเงินเข้าบัญชีให้แก่โจทก์เรื่อยมา อายุความจึงสะดุดหยุดลง คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนั้น ความมุ่งหมายของโจทก์ก็เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังข้อเท็จจริงอื่นนอกเหนือจากที่โจทก์และจำเลยแถลงรับกัน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว โดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หามีผลบังคับแก่คดีไม่ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่ไม่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
 
 
 
 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
  • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225
  • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138
  • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84

ผู้พิพากษา

อิศเรศ ชัยรัตน์
ชัยวุฒิ โลหชิตรานนท์
ไมตรี ศรีอรุณ

แอปพลิเคชั่นค้นหาคำพิพากษาศาลฎีกา

ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for iOS ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for Android