คำพิพากษาย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ แต่ในทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เมื่อความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องรวมการกระทำหลายอย่าง ซึ่งมีการใช้กำลังประทุษร้ายรวมด้วยอย่างหนึ่ง และแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามที่พิจารณาได้ความได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหก
เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในความผิดฐานปล้นทรัพย์สำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเหตุลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องความผิดฐานปล้นทรัพย์ไปถึงจำเลยที่ 2 ที่ไม่ได้ฎีกาให้มิต้องถูกรับโทษดุจจำเลยที่ 1 ผู้ฎีกาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 2 และพวกไม่มีเจตนาเอาทรัพย์สินดังกล่าวของผู้เสียหายไปตั้งแต่เริ่มแรก แต่จำเลยที่ 2 เอาทรัพย์สินดังกล่าวหลังจากร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายแล้วอันเป็นการกระทำต่างวาระ จึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และลักทรัพย์ รวม 2 กรรม ซึ่งลงโทษได้ตามที่พิจารณาได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192
ที่ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษจำเลยทั้งสองเพราะจำเลยทั้งสองเคยได้รับโทษจำคุกในคดีอื่นมาก่อน และภายในเวลา ๕ ปี นับแต่วันพ้นโทษ จำเลยได้มากระทำความผิดคดีนี้ซ้ำอีกนั้น ปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๔ ใช้บังคับ ซึ่งมีผลให้ล้างมลทินแก่จำเลยทั้งสองซึ่งต้องคำพิพากษาดังกล่าว โดยให้ถือว่าจำเลยทั้งสองมิได้เคยถูกลงโทษในความผิดนั้นมาก่อน กรณีไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยทั้งสองได้