คำพิพากษาย่อสั้น
โจทก์เป็นพนักงานของธนาคารจำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2534 จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเรื่องการพักงานตามมาตรา 116 และ 117 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาใช้บังคับได้ตามมาตรา 4 (2) เมื่อ พ.ร.บ.พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2534 มิได้บัญญัติเรื่องการพักงานไว้ จึงต้องเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย โจทก์ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการทุจริต จำเลยย่อมมีสิทธิพักงานโจทก์เพื่อสอบสวนได้ตามคู่มือและระเบียบปฏิบัติงาน หมวด 3 วินัยและโทษทางวินัยข้อ 7 วรรคหนึ่ง
คู่มือและระเบียบปฏิบัติงาน หมวด 3 วินัยและโทษทางวินัยข้อ 7 วรรคสอง ที่กำหนดไว้ว่า "ในระหว่างที่ถูกสั่งพักงาน ธนาคารจะควรจ่ายเงินเดือนหรือเงินอื่นใดพี่พึงได้รับหรือไม่อย่างไร กรรมการผู้จัดการใหญ่จะเป็นผู้สั่งการ" เป็นการให้อำนาจกรรมการผู้จัดการใหญ่เป็นผู้พิจารณา เมื่อกรรมการผู้จัดการใหญ่มีคำสั่งให้ไล่โจทก์ออกจากธนาคาร โดยงดจ่ายเงินพึงได้ใดๆ ให้ทั้งสิ้น ประกอบกับตาม ป.พ.พ. มาตรา 575 ลูกจ้างจะได้ค่าจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้าง เมื่อจำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์เนื่องจากมีข้อเท็จริงอันควรเชื่อว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตซึ่งเป็นคำสั่งพักงานที่ชอบโดยไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์และในระหว่างพักงานโจทก์มิได้ทำงานให้แก่จำเลย จึงไม่มีสิทธิได้ค่าจ้างหรือเงินเดือนในระหว่างพักงานจากจำเลย
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า การสอบสวนข้อเท็จจริงเบื้องต้นของจำเลยไม่ชอบ เพราะรับฟังข้อเท็จจริงจากคำซัดทอดของผู้กระทำผิดที่มุ่งใส่ความโจทก์เพื่อให้ตนเองพ้นผิด รับฟังคำให้การของพยานที่ให้การเท็จโดยไม่สมเหตุผล และเป็นการสอบพยานหลักฐานฝ่ายเดียวโดยไม่ให้โอกาสโจทก์ได้คัดค้านและนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์หักล้างทำให้รับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน เป็นเหตุให้ศาลแรงงานกลางนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยคดี จึงทำให้การวินิจฉัยคดีของศาลแรงงานกลางไม่ชอบด้วยนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง ถือเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
โจทก์เป็นพนักงานของธนาคารจำเลยซึ่งต้องได้รับความเชื่อถือจากประชาชนเกี่ยวกับด้านการเงิน การกระทำผิดของโจทก์มีผลเสียหายต่อฐานะการเงินของจำเลย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเงินที่ประชาชนนำมาฝาก อีกทั้งกระทบต่อชื่อเสียงและความเชื่อถือของประชาชนมาก จึงเป็นการฝ่าฝืนในกรณีร้ายแรง จำเลยสามารถเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2534 มาตรา 11 (1) และมาตรา 11 วรรคสอง ประกอบระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ข้อ 46 (3) ที่ศาลแรงงานกลางอ้าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) มานั้นไม่ถูกต้อง และเมื่อโจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในกรณีร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และการเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม