คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2451/2550

 แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
 เผยแพร่เมื่อ: 1 ม.ค. 2513 07:00:00

คำพิพากษาย่อสั้น

 
โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยในตำแหน่งผู้จัดการวิจัยต่างประเทศ มีหน้าที่ในการทำรายงานวิจัยเกี่ยวกับหลักทรัพย์ทั้งในประเทศและในระดับภูมิภาคเผยแพร่เพื่อประโยชน์แก่ลูกค้าและประชาชน ในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ จำเลยกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการกำหนดรายชื่อหลักทรัพย์ที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการซื้อขาย และหลักทรัพย์ที่ห้ามทำการซื้อขาย โจทก์ได้จัดทำรายงานการวิจัยหลักทรัพย์ของบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ฉบับลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 ระบุว่าเป็นหลักทรัพย์ที่แนะนำให้ซื้อ และโจทก์ซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทดังกล่าวรวม 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 จำนวน 5,000 หุ้น และวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2543 จำนวน 10,000 หุ้น โดยในการซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวโจทก์ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชา ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2543 โจทก์ได้ออกรายงานการวิจัยเกี่ยวกับหลักทรัพย์ของบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) เป็นหลักทรัพย์ที่ต้องระมัดระวังในการซื้อขายในระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2543 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2543 ส่วนเวลาก่อนหน้านี้โจทก์มิได้ใส่ชื่อหลักทรัพย์ของบริษัทดังกล่าวเป็นหลักทรัพย์ที่ต้องระมัดระวังในการซื้อขาย ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ซื้อหลักทรัพย์ในขณะที่โจทก์ทราบข้อมูลของหลักทรัพย์ดังกล่าวในวันที่โจทก์เข้าพบผู้บริหารของบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 หากในระหว่างจัดทำรายงานโจทก์แจ้งรายชื่อหลักทรัพย์ดังกล่าวอยู่ในบัญชีรายชื่อหลักทรัพย์ที่ต้องระมัดระวัง ผู้บังคับบัญชาก็จะไม่อนุมัติให้โจทก์ซื้อเนื่องจากผิดระเบียบซึ่งจำเลยได้กำหนดห้ามเจ้าหน้าที่ในฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ต่างประเทศและฝ่ายบริหารหลักทรัพย์ ซื้อหลักทรัพย์เป็นเวลา 5 วัน นับแต่วันที่มีการเผยแพร่รายงานผลการวิจัยหลักทรัพย์เพื่อควบคุมไม่ให้การซื้อขายหลักทรัพย์ของพนักงานเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือมีการใช้ข้อมูลภายในเพื่อเอาเปรียบลูกค้า ดังนี้ โจทก์ซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ก่อนวันที่มีการเผยแพร่รายงานการวิจัยโดยที่โจทก์รับทราบข้อมูลภายในแล้วอาศัยประโยชน์จากข้อมูลที่ได้นั้นไปซื้อหลักทรัพย์ไว้ก่อนลูกค้าและจึงจัดทำรายงานการวิจัยเชิญชวนลูกค้าให้ซื้อหลักทรัพย์นั้น เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างไม่เชื่อถือในความซื่อสัตย์ของโจทก์ ทั้งการกระทำดังกล่าวอาจนำมาซึ่งความเสียหายแก่นายจ้างได้ การเลิกจ้างโจทก์จึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49
โจทก์ถูกเลิกจ้างวันที่ 12 มีนาคม 2544 ตามสัญญาจ้างแรงงานได้กำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินโบนัสว่า การจ่ายเงินโบนัสโจทก์จะต้องยังคงอยู่ภายใต้การจ้างงานของจำเลย หากโจทก์ลาออกหรือถูกเลิกจ้างเพราะเหตุทำความผิดก่อนวันจ่ายเงินจะไม่มีการจ่ายเงินโบนัส เว้นแต่เป็นเรื่องการปรับโครงสร้างบริษัท ควบรวมกิจการหรือครอบงำกิจการบริษัท เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์จากการที่โจทก์ปฏิบัติงานและรับทราบข้อมูลภายในแล้วอาศัยประโยชน์จากข้อมูลนั้นซื้อหลักทรัพย์ไว้ก่อนลูกค้าแล้วจึงจัดทำรายงานการวิจัย เชิญชวนให้ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์นั้น จึงเป็นกรณีที่เกิดเหตุการณ์ในความรับผิดชอบของโจทก์ที่กระทบต่อชื่อเสียงของโจทก์และจำเลย เมื่อศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า เงินโบนัสประจำปี 2543 ถึงปี 2544 กำหนดจ่ายพร้อมเงินเดือนในวันที่ 27 พฤษภาคม 2544 โจทก์ถูกเลิกจ้างวันที่ 12 มีนาคม 2544 โดยเหตุตามที่กำหนดในสัญญาจ้างแรงงาน ก่อนวันจ่ายเงินโบนัส โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัส สำหรับการทำงานปี 2543 ถึงปี 2544
 
 
 
 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49
  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583
  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575

ผู้พิพากษา

รัตน กองแก้ว
พิชิต คำแฝง
จรัส พวงมณี

แอปพลิเคชั่นค้นหาคำพิพากษาศาลฎีกา

ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for iOS ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for Android