คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2534

 แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
 เผยแพร่เมื่อ: 1 ม.ค. 2513 07:00:00

คำพิพากษาย่อสั้น

 
หนี้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและหนี้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่างถึงกำหนดพร้อมกันและมีประกันเท่ากัน แต่หนี้รายที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกัน จะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีตามสัญญา ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าหนี้รายที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกัน ซึ่งจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224วรรคหนึ่ง การนำเงินสะสมของจำเลยที่ 1 ชำระหนี้รายที่จำเลยที่ 2ค้ำประกันเพื่อให้หนี้รายนี้ปลดเปลื้องไปก่อน จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของลูกหนี้ได้มากกว่า เพราะเป็นการลดภาระที่หนักกว่าของลูกหนี้ แม้หนี้รายที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกันจะมีจำนวนสูงกว่าเมื่อคำนวณดอกเบี้ยในระยะเวลาเท่ากัน จำนวนดอกเบี้ยของหนี้รายที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกันจะเป็นจำนวนสูงกว่า ก็มิได้ทำให้หนี้ทั้งสองรายนี้ต้องเสียดอกเบี้ยมากกว่า เพราะเมื่อเปรียบเทียบกรณีนำเงินสะสมของจำเลยที่ 1 ไปชำระหนี้รายที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกันกับรายที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกัน แล้วคำนวณดอกเบี้ยจากยอดหนี้คงเหลือ จะเห็นได้ว่ากรณีที่นำเงินสะสมดังกล่าวไปชำระหนี้รายที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกัน จำนวนดอกเบี้ยในหนี้ทั้งสองรายรวมกันในระยะเวลาภายหลังจากนั้น จะมีจำนวนน้อยกว่ากรณีนำเงินสะสมดังกล่าวไปชำระหนี้รายที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกัน ตามข้อสัญญากำหนดเบี้ยปรับจำนวนสองเท่าของเงินที่จำเลยที่ 1ต้องชดใช้คืนโจทก์ แต่การที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้ทุนฝึกอบรมครบถ้วนเป็นเพราะโจทก์มีส่วนอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ไม่กลับมาใช้ทุนและลาออกจากราชการไปการคิดเบี้ยปรับสองเท่าของจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้คืนให้โจทก์จึงเป็นจำนวนที่สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ลดเบี้ยปรับลงเหลือหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้คืน.
 
 
 
 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328
  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381
  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383

ผู้พิพากษา

ชุม สุกแสงเปล่ง
เทพฤทธิ์ ศิลปานนท์
พินิจ ฉิมพาลี

แอปพลิเคชั่นค้นหาคำพิพากษาศาลฎีกา

ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for iOS ค้นหาฎีกา (Easy Deka) for Android