คำพิพากษาย่อสั้น
คดีสองสำนวนที่ศาลสั่งรวมพิจารณา คดีแรกโจทก์ที่ 1, 2 และ 3 ผู้เยาว์โดย ข. ผู้ใช้อำนาจปกครองเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องเรียกค่าเสียหาย และค่าขาดไร้อุปการะในการที่มารดาโจทก์ถึงแก่ความตายเพราะการกระทำละเมิดจากจำเลยทั้งสองเป็นเงิน 40,460 บาท กับโจทก์ที่ 4 ในฐานะบิดาผู้ตายเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะต่างหากอีก 10,000 บาท รวม 50,460 บาท ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข.ไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ที่ 1, 2, 3 ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1, 2, 3 คงให้จำเลยใช้ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ที่ 4 10,000 บาท คดีเฉพาะโจทก์ที่ 1, 2, 3 ถึงที่สุดโดยมิได้อุทธรณ์ต่อมา ดังนั้น คดีเฉพาะโจทก์ที่ 4 จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันเพียง 10,000 บาท ส่วนสำนวนคดีหลังโจทก์ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยรวม 49,000 บาท คดีทั้งสองสำนวนนี้จึงเป็นคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันสำนวนละไม่เกินห้าหมื่นบาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งคู่ความต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า น.ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้ประมาท และว่าเป็นเรื่อง บ. ลูกจ้างจำเลยที่ 2 ถอยรถมาชนรถจำเลยที่ 1 ที น.ขับไปตามปกติ โดยอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวนนั้น เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทมาตราดังกล่าว