คำพิพากษาย่อสั้น
การที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลอาญาในข้อหาว่ายักยอกเวชภัณฑ์และยาจำนวนเดียวกันกับคดีนี้ ขอให้ลงโทษและให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคายา เป็นการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ยักยอกเอายาที่เบิกไปจากคลังเวชภัณฑ์อนามัยภาค 6 ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2520 เพียงครั้งเดียว พิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 1กับให้คืนหรือใช้ราคายา คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาเพราะถือว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีแทนโจทก์ ทั้งโจทก์ต้องห้ามมิให้นำคดีมารื้อร้องฟ้องจำเลยที่ 1 อีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเอายาที่เบิกครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2520 แต่พิพากษายกฟ้องเพราะฟังไม่ได้ว่านายธำรง รองผู้ว่าราชการมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าว ทั้งยังได้กล่าวในคำแก้อุทธรณ์ว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้วปะเด็นที่จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในการที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเอายาที่เบิกเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2520 ไป จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่านายธำรง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้แทนโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายในการฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ สำหรับยาและเวชภัณฑ์ที่จำเลยที่ 1 เบิกจากคลังเวชภัณฑ์ภาค 6 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2520 แล้วยักยอกเอาไป